Page 519 - บทความแนวปฏิบัติที่ดี KM มทร.+2 ครั้งที่ 10
P. 519
513
คณะหรือผู้ประกอบพิธีจุดเทียนขาวพร้อมทั้งธูป 9 ดอก แล้วน าไปบูชาที่ตะโพนในวงปี่พาทย์เพื่อเป็นการ
สักการะ บูชาครูทางด้านดนตรีอีกครั้งหนึ่ง
ผู้เชิดหนังและผู้พากย์-เจรจา จุดธูปคนละ1 ดอกกล่าวบูชาครูตามหัวหน้าคณะหรือ
ผู้ประกอบพิธีซึ่งจะกล่าวอัญเชิญเทพยดา ครู อาจารย์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายหรือเรียกว่า “ชุมนุม
เทวดา”เพื่อให้เกิดสิริมงคลในการแสดงเมื่อกล่าวคาถาอัญเชิญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รวมธูปของทุกคนมาปักไว้
ในกระถางธูปหน้าหนังรูปครู แล้วโห่ 3 ลา (ครั้ง) เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยหรือเป็นสัญญาณการบอกกล่าวก่อน
การแสดงบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีก็จะรับเสียงโห่ตามล าดับจากนั้นหัวหน้าคณะหรือผู้ประกอบพิธี จะประพรม
น้ ามนต์เพื่อเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้แสดงหนังทุกคน ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรมในส่วนแรก
ล าดับต่อไปก็จัดเก็บเครื่องสังเวยบูชาและโต๊ะหมู่บูชาไปตั้งไว้ด้านหน้าวงปี่พาทย์ ซึ่งอยู่บริเวณ
กึ่งกลางจอหนัง โดยหันหน้าเข้าหาจอหนังห่างจากจอประมาณ 6-7 เมตรพอให้มีพื้นที่ส าหรับการเชิดหนังได้
จากนั้นวงปี่พาทย์จะเริ่มบรรเลงเพลงเชิดเพื่อเชิดหนังรูปพระฤษี หนังรูปพระอิศวร และหนังรูป
พระนารายณ์ โดยผู้เชิดจะเชิดด้านหน้าจอในลักษณะดังนี้
หนังรูปพระฤษีจะอยู่ตรงกลาง หนังรูปพระอิศวรอยู่ทางด้านขวาของจอหนัง ส่วนหนังรูป
พระนารายณ์อยู่ทางด้านซ้ายของจอหนัง ผู้เชิดหนังรูปพระอิศวรและหนังรูปพระนารายณ์จะเชิดในลักษณะ
ท่าทางถวายบังคมหนังรูปพระฤษีกล่าวคือเคลื่อนไหวหนังรูปเทพเจ้าทั้งสองในลักษณะเลื่อนขึ้น–ลงทาบกับจอ
หนัง 3 ครั้งจากนั้นเชิดหนังรูปเทพเจ้าทั้งสองออกมาห่างจากจอหนังประมาณ 1 . 5 - 2 เมตร
เชิดตามกระบวนท่า ส่วนผู้เชิดหนังรูปพระฤษี จะเชิดหนังรูปพระฤษีออกจากจอหนังและน าไปไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา
เมื่อจบกระบวนการเชิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้เชิดจะน าหนังรูปเทพเจ้าทั้งสองไปทาบจอหนัง
ตามเดิมในลักษณะที่หนังรูปเทพเจ้าทั้งสองหันหน้าเข้าหากันระยะห่างระหว่างตัวหนังประมาณ 1 เมตรเมื่อ
หนังทั้งสองทาบกับจอ วงปี่พาทย์ซึ่งบรรเลงเพลงเชิดอยู่นั้น จะหยุดบรรเลงตามกระบวนท่าเชิดหนัง ผู้พากย์
จะท าหน้าที่พากย์บทเบิกหน้าพระหรือเรียกว่าพากย์สามตระ ประกอบด้วย 3 ทวย หรือ 3 บท โดยผู้พากย์
ยืนอยู่บริเวณริมขอบจอทั้งสองข้างผลัดกันพากย์ เมื่อจบท้ายแต่ละบทตะโพนและกลองทัดจะตีรับตามแบบแผน
ของการบรรเลงประกอบการพากย์ จากนั้นผู้บรรเลงในวงปี่พาทย์ และผู้แสดงหนังจะส่งเสียงร้องพร้อมกันว่า
“เพ้ย” ต่อท้ายการตีตะโพนและกลองทัด ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่ส าคัญของการพากย์หนังใหญ่
เมื่อผู้พากย์ พากย์จบบทในทวยแรกหรือตระแรกผู้พากย์จะบอก “หน้าพาทย์” หรือเรียกเพลงให้วง
ปี่พาทย์บรรเลงว่า “ทวย” วงปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงเชิด ผู้เชิดหนังรูปเทพเจ้าทั้งสองก็เชิดหนัง
ตามกระบวนท่าเช่นเดียวกับที่เชิดครั้งแรกเมื่อจบกระบวนท่าเชิด ผู้เชิดจะน าหนังทั้งสองกลับไปทาบหน้าจอ
หนังเหมือนเดิม จากนั้นวงปี่พาทย์ซึ่งบรรเลงเพลงเชิดอยู่นั้น จะหยุดบรรเลงตามกระบวนท่า
เชิดหนัง
จากนั้นผู้พากย์หนังรูปเทพเจ้าทั้งสอง จะเริ่มพากย์ในบทที่ 2 หรือทวยที่ 2 หรือตระที่ 2
เมื่อจบบทพากย์ในบทที่ 2 ผู้พากย์จะเรียกเพลงทวยปี่พาทย์ก็บรรเลงเพลงเชิดผู้เชิดหนังรูปเทพเจ้าทั้งสองก็
เชิดหนังออกจากจอตามกระบวนท่าเชิด เหมือนกับทวยที่ 1เมื่อหมดกระบวนท่าเชิด ผู้เชิดก็น าหนังกลับทาบ
จอตามเดิม วงปี่พาทย์ซึ่งบรรเลงเพลงเชิดอยู่นั้น จะหยุดบรรเลงตามกระบวนท่าเชิดหนังและเริ่มพากย์ในบท
ที่ 3 หรือ ทวยที่ 3 จะด าเนินการตามกระบวนการพากย์ และเชิดหนังรูปเทพเจ้าเหมือนทวยที่ 1 - 2
ผู้เชิดหนังรูปเทพเจ้าทั้งสองลดหนังลงจากจอหนัง วางพิงที่หน้าจอตามต าแหน่งเดิมผู้เชิดหนังรูปพระ
ฤษีเชิญหนังรูปพระฤษีจากโต๊ะหมู่บูชามาที่หน้าจอหนังอีกครั้งโดยให้หนังรูปพระฤษีอยู่กึ่งกลางระหว่างหนังรูป
พระนารายณ์และพระอิศวรหันหน้าหนังพระฤษีไปทางซ้ายมือของจอหนัง ลักษณะการวางหนังรูปพระทั้งสาม
จะเหมือนกับการจัดวางหนังก่อนการแสดงจากนั้นผู้เชิดหนังพระฤษีจะเจิมหนังรูปพระฤษี หนังรูปพระอิศวร