Page 90 - บทความแนวปฏิบัติที่ดี KM มทร.+2 ครั้งที่ 10
P. 90
84
บทน า
ในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามค าแหงมหาราชที่บันทึกเมื่อ พ.ศ. 1826 ตามที่ ประเสริฐ ณ นคร
ได้แปลความไว้เป็นภาษาไทยปัจจุบันว่า “ เมืองสุโขทัยนี้มีพระขพุง (ภูเขาสูงใหญ่) ผีเทพดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่
กว่าทุกผี (เทวดาทุกองค์) ในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมือง สุโขทัยนี้แล้ (และ)ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง (มั่นคง) เมืองนี้ดี
ผีไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้น (นั่น) บ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย ” (๒๕๕๑ : ๑๐๕)
จากข้อมูลนี้จึงถือได้ว่า คนไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความเชื่อเรื่องผีแล้ว และน่าจะฝังรากลึกลงในวิถีชีวิต
ของคนไทยมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าปัจจุบันนี้โลกจะเป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่ปราศจากพรมแดนในการติดต่อสื่อสารและมี
ความเจริญสูงสุดทางเทคโนโลยี แต่ความเชื่อในโชคลาง และอ านาจเหนือธรรมชาติ ก็ยังมีปรากฏให้เห็นอยู่ใน
ข่าวสารต่าง ๆ
ส าหรับความเชื่อเรื่อง ชีวิตหลังความตายจะเริ่มเมื่อจิตออกออกจากร่างกาย ส าหรับ “จิต” นี้ เรียก
“วิญญาณ” เมื่อตายแล้ว และเรียก “ขวัญ” ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะ “จิต” เป็นสิ่งที่ไม่แตกดับ จะคงอยู่
ตลอดไปแล้วแต่บุญหรือกรรมที่ได้ท าเอาไว้ คนไทยจึงมีวิธีการติดต่อกับผีหรือวิญญาณด้วยพิธีกรรมต่าง ๆ โดย
ผ่านร่างทรง ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น เช่น หมอเทียม เฒ่าจ้ า นางเทียน นางทรง แม่มด พ่อ
มด หมอผี นางทรง เป็นต้น แม้ว่าปัจจุบันคนไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ความ
เชื่อเรื่องผีก็ยังคงอยู่ เพียงแต่มีการสร้างรูปแบบที่แตกต่างไปจากพิธีกรรมดั่งเดิม ไทยทรงด า (ลาวโซ่ง) จะท าเครื่อง
บัดพลีบูชาผีที่ตนเคารพนับถือด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สะโตง หรือ กะล้อห่อง” (ภาชนะที่ท าด้วยกาบกล้วยมาหักสี่มุม
แล้วบรรจุข้าวปลาอาหาร เหล้า ยาสูบ ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นของเซ่นไหว้ผี) โดยอาศัยบุคคล (ผีมด) ที่เป็นสื่อใน
การติดต่อกับผีให้เป็นผู้ท าพิธีเชิญผีด้วยการเข้าทรง เพื่อให้มาช่วยดับทุกข์ ท าลายอุปสรรค สิ่งอัปมงคล หรือบ าบัด
โรคภัยให้หายไป
เมื่อเสร็จจากพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่เรียกว่า “พิธีกรรมเสน” ก็จะมีการท าบุญเลี้ยงพระเพื่ออุทิศส่วน
กุศลให้แก่ผู้ที่ตายไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ที่คนไทยทรงด า
(ลาวโซ่ง) ยึดถือร่วมกันว่า หากผู้ใดประพฤติตามท านองครองธรรม เซ่นสรวงสังเวยผีตามขนบธรรมเนียมประเพณี
ย่อมจะน าความผาสุกมาสู่ตนเองและครอบครัว
ส าหรับงานชิ้นนี้ มุ่งจะศึกษาและเก็บรวบรวมภูมิปัญาชาวบ้านเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “ผีฟ้าพญาแถนใน
พิธีกรรมเสน” ของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ด าในประเทศไทยที่เรียกตนเองว่า ไทยทรงด า (ลาวโซ่ง) ซึ่งเชื่อถือในอ านาจสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ส าหรับไทยทรงด า (ลาวโซ่ง) ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่ทางรัฐไทย (สยาม) ในช่วงต้นกรุง
รัตนโกสินทร์ได้กวาดต้อนมาจากแคว้นสิบสองจุไท (สิบสองเจ้าไท) ซึ่งอยู่บริเวณตอนเหนือของประเทศสาธารณรัฐ
สังคมนิยมเวียดนาม และบริเวณตอนเหนือของเมืองหัวพันทั้งห้าทั้งหกของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว คนเหล่านี้มีชื่อเรียกกันต่าง ๆ ว่า “ไตด า ไทยทรงด า ลาวโซ่ง” ซึ่งชื่อนี้มาจากการที่พวกเขาสวม
ใส่เสื้อผ้าสีด า หรือ ผ้าย้อมคราม ค าว่า “โซ่ง” เพี้ยนเสียงมาจากค าว่า “ซ่วง” หรือ “ส้วง” แปลว่า กางเกง
บางครั้งเพี้ยนเสียงเป็น “ทรง” จึงกลายเป็น “ไทยทรงด า” ซึ่งสอดคล้องกับที่ วิภาวรรณ อยู่เย็น ได้ให้ทรรศนะ
ไว้ว่า “ ที่เรียกว่าไทด า (Black Tai) นั้น เนื่องมาจากเหตุผล 2 ประการ คือ ประการแรก เป็นการเรียกตามสีเครื่อง
แต่งกายของคนไทยกลุ่มนี้ที่นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีด า เช่นเดียวกับเรียกคนไทที่อยู่ตอนเหนือของเวียดนามแถบเมือง
ไล ซึ่งนิยมนุ่ห่มด้วยผ้าสีขาวว่า “ไทขาว” (White Tai) อีกประการหนึ่ง เรียกตามถิ่นที่อยู่อาศัย กล่าวคือ พวกไท