Page 252 - บทความแนวปฏิบัติที่ดี KM มทร.+2 ครั้งที่ 10
P. 252
246
แนวคิดการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 ขยายขอบเขตกว้างมากขึ้น กล่าวคือ ครู ต้องไม่
สอน แต่ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สอน” (Teacher) ไปเป็น “ผู้ฝึก” (Coach) หรือ “ผู้อ านวยความสะดวก”
(Facilitator) ในการเรียนรู้และออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน และนักศึกษาต้องเรียนรู้เอง
และลงมือปฎิบัติ ท าให้การเรียนการสอนต้องสอดแทรกให้เกิดการพัฒนาทักษะมากขึ้นนอกเหนือจากความ
เข้าใจในเนื้อหาวิชา นั่นคือ การบูรณาการระหว่างหลักทฤษฎีไปสู่การปฎิบัติด้วยการยึดโครงงานเป็นฐาน
(Project-based) และขับเคลื่อนด้วยการวิจัย (Research-driven) ที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น ชุมชน ประเทศ และ
โลก แทนที่จะยึดต าราเป็นตัวขับเคลื่อน (Textbook-driven) ดังเช่นในอดีต
1
กระบวนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มีรูปแบบกระบวนการเรียนรู้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1) การเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructionism) โดยมีหลักการคือ เป็นนวัตกรรมการ
จัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมใหผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดเป็น ท าเป็น แก้ปัญหาเป็น และสร้างองค์
ความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นให้ผู้เรียนลงมือปฎิบัติหรือสร้างชิ้นงานจากการท าโครงงาน (Project Based
Learning) หรือการวิจัย (Research)
2) การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา (Science, Technology, Engineering and
Mathematic Education: STEM Education) โดยมีหลักการคือการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมีทักษะการคิด
วิเคราะห์ และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการทาง
วิศวกรรม
3) การจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง (Brain-based Learning: BBL) โดยมีหลักการคือการ
จัดการเรียนรู้และอบรมเลี้ยงดูเด็กให้สอดคล้องกับธรรมชาติและการท างานของสมอง การจัดการเรียนการ
สอนในศตรวรรษที่ 21 ท้าทายความสามารถของอาจารย์ผู้สอน กล่าวคือ การเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนไป
เป็นผู้ฝึกหรือโค้ชนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งนี้เพราะสนามการเรียนรู้มีทั้งในและนอกห้องเรียน อาจารย์ต้องบูรณา
การระหว่างเนื้อหาสาระวิชากับการปฎิบัติ โดยใช้โครงงานหรือการวิจัยเป็นตัวขับเคลื่อนแทนที่จะยึดต ารา
อย่างเดียว นั่นคือ การวิจัยเป็นเครื่องยนต์ของการเรียนการสอนท าให้อาจารย์ต้องเร่งพัฒนาคุณภาพด้วยการ
ท าวิจัยหรือผลงานทางวิชาการด้วย เพื่อให้เป็นโค้ชที่ให้แนะน านักศึกษาได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์คุณภาพการศึกษาของไทยยังมีจุดอ่อน ปรากฎได้จากผลทดสอบทาง
การศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน O-NET ตั้งแต่ในปี 2554 ถึง 2558 ตามตารางที่ 1 พบว่า ผลการสอบของ
นักเรียนทุกระดับชั้นมีคะแนนต่ ากว่าเกณฑ์ (ต่ ากว่าร้อยละ 50) มีเพียงบางปีและบางวิชาที่คะแนนสูงกว่า
เกณฑ์เล็กน้อย (ภาษาไทยและสังคม) ส่วนวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ยังมีคะแนนต่ าสุด (เฉลี่ยร้อยละ
20) แม้ว่าประเทศไทยลงทุนด้านการศึกษาร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายรวม หรือกว่า 50,000 ล้าน
บาทต่อปี และมีสัดส่วนงบประมาณการศึกษาต่องบประมาณรวมของไทยอยู่ในอันดับแรกของภูมิภาค ขณะที่
ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศของ International Institute for
Management (IMD) ในด้านการศึกษาของ 61 ประเทศทั่วโลกพบว่า อันดับการศึกษาของไทยลดลงจากเดิม
ในปี 2558 อยู่ในอันดับที่ 48 แต่ในปี 2559 อยู่ในอันดับที่ 52