Page 682 - บทความแนวปฏิบัติที่ดี KM มทร.+2 ครั้งที่ 10
P. 682

676


                              กำรเอียง  จะต้องเอียงข้างแขนตึง  น้ าหนักตัวส่วนใหญ่จะไม่ลงไปที่เท้าหน้าแต่จะลงไปที่เท้า
               หลังเป็นส่วนใหญ่  การเอียงจะเป็นการถ่วงน้ าหนักระหว่างเท้ากับไหล่


                              กำรไหว้
                              การไหว้เป็นการไหว้แบบปกติไม่มีลักษณะพิเศษแต่อย่างใด  คือ ประนมมือขึ้นระหว่างอก
               แล้วก็ก้มศีรษะค้อมหลังพอประมาณ

                              ขั้นตอนของการการนั่ง  การกราบ  การยืน  การไหว้  จะเริ่มจาการกราบ  เมื่อกราบเสร็จ
               แล้วจะต้องคืนตัวขึ้นมานั่งในท่านั่งท่าเดิมคือท่าพระ-นาง จากนั้นต้องลุกยืน  จังหวะที่หนึ่งของการยืนคือ การ
               นั่งบนส้นเท้า  มือวางอยู่บนหน้าขา  จังหวะที่สองให้ผู้เรียนตั้งเข่าขวาขึ้นพร้อมเอามือทั้งสองข้างมาประสานกัน
               ที่หน้าขา  จังหวะที่สามลุกขึ้นยืนพร้อมกับประสานเท้า  ยกมือขึ้นพนมระหว่างอกแล้วก็ก้มศีรษะลงไหว้
               จังหวะที่สี่เอามือลงแนบล าตัวแล้วค่อยเดินออกไป

                              ถ้าการกราบเพื่อเลิกชั้น  นักเรียนที่เป็นตัวพระก่อนกราบจะต้องหลบเข่า  จะไม่กราบค่อมหัว
               เข่า  ต้องหลบเข่ามาให้พ้นแขน เวลากราบต้องให้หน้าผากจรดกับนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่มือต้องไม่ตั้ง

                              1.2.5  การเตรียมความพร้อมของร่างกาย

                                     ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอนในแต่ละวัน  ครูผู้สอนจะต้องให้ผู้เรียนดัดตนเสียก่อน
               การคัดตนนั้นจะเปรียบเหมือนการอบอุ่นร่างกายก่อนการเล่นกีฬา  นอกจากนั้นยังช่วยให้นักเรียนเกิดความ
               อดทนในการฝึกฝนอีกด้วย

                                     ท่าดัดตนจะประกอบด้วยท่า  ดัดมือ  ดัดแขน  ดัดขา  ดัดหลัง การดัดตนนอกจาก
               จะเป็นการอบอุ่นร่ากายให้กล้ามเนื้อได้ยืดหยุ่นแล้ว  ยังช่วยเสริมให้นักเรียนมีท่วงท่าในการร าที่งดงามและดู
               สง่างาม เช่น ไม่ร าก้มหน้า  หลังไม่งอ  และร าเปิดปลายคาง  ท่าดัดตนอาจใช้ท่าโยคะมาผสมผสานกับท่า
               นาฏศิลป์  ท่าดัดตนไม่มีท่าที่แน่นอนตายตัว  แล้วแต่ครูจะน าท่าไหนมาใช้และในการดัดตนครูควรให้ผู้เรียนนับ
               เช่น 1-10 หรือ 1-50 หรือ 1-100  เพื่อเป็นการฝึกจังหวะ


                       1.3  นาฏยศัพท์เบื้องต้น
                              นาฏยศัพท์เป็นค าเฉพาะที่ใช้กับการเรียนนาฏศิลป์  เป็นพื้นฐานให้นักเรียนสามารถร าท่าต่าง
               ๆ ได้  เช่น การจีบ  การตั้งวง ฯลฯ  การเรียนนาฏยศัพท์จะช่วยให้ครูไม่ต้องอธิบายมากในขั้นตอนการต่อท่าร า

               และนาฏยศัพท์จะถูกแบ่งออกเป็นนาฏยศัพท์ของตัวพระ  และนาฏศัพท์ของตัวนาง   ในการฝึกนาฏศัพท์ต้อง
               ดูสรีระของผู้เรียนซึ่งผู้เรียนแต่ละคนมีสรีระแตกต่างกัน  ครูต้องคอยจับท่าให้เหมาะสมกับสรีระของผู้เรียนให้ดู
               สวยและสง่างาม


                       1.4  เทคนิคการสอนปฏิบัติเพลงช้า-เพลงเร็ว
                              ในเรื่องเทคนิคการสอนเพลงช้า-เพลงเร็วครูผู้สอนจะต้องสอนให้เด็กรู้จักในเรื่องของจังหวะ
               หน้าทับเสียก่อน โดยฝึกร้องจังหวะหน้าทับเพลงช้า ---จะ/- โจง-จะ/-ทิง-โจง/---ทิง/ และจังหวะหน้าทับของ
               เพลงเร็วจะเป็น ---ตุ๊บ/-ทิง-ทิง/ พร้อมกับตบจังหวะไปด้วย เพลงช้าของทั้งพระและนางนั้นก็มีจังหวะแบบ

               เดียวกัน  พอหลังจากที่ผู้เรียนฝึกร้องจังหวะห้าทับและตบจังหวะได้แล้ว จึงเริ่มต่อท่าร าโดยเริ่มมาจาก ขา มือ
               และ ศีรษะ การสอนจะต้องให้ผู้เรียน ๆ รู้ทีละท่า ประกอบกับการร้องจังหวะหน้าทับ เพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าท่านี้
               เราต้องร ากี่จังหวะ กี่ครั้งในหนึ่งท่า  และครูผู้สอนจะต้องคอยดูว่าผู้เรียนสามารถร าได้หรือไม่  เมื่อผู้เรียนร าได้
               แล้วก็จะให้ร าทวนท่าตั้งแต่แรก ส่วนผู้เรียนที่ยังไม่สามารถร าได้ ครูก็ต้องคอยแก้ไขทีละท่า การต่อท่าร าจะต้อง

               ดูความพร้อมของผู้เรียนว่าสามารถจ าท่าร าและสามารถปฏิบัติท่าร าได้หรือไม่  ถ้ายังจ าท่าร าไม่ได้ก็ไม่สามารถ
   677   678   679   680   681   682   683   684   685   686   687